การที่โลกกำลังพัฒนาทำให้ประชากรเพิ่มมากขึ้น วิถีชีวิตของมนุษย์จึงเริ่มเปลี่ยนไป เกษตรกรรมแบบเดิมๆ ที่ทำแบบแค่พอมีพอกินก็เริ่มขยายออกไปสู่การทำเพื่อการพาณิชย์ การทำเกษตรกรรมแบบ พืชเดี่ยว (Monoculture) จึงเริ่มถือกำเนิดขึ้น
เกษตรกรรมพืชเดี่ยว เป็นการทำเกษตรกรรมโดยการปลูกพืชชนิดเดียวในบริเวณพื้นที่กว้าง ซึ่งนอกจากการปลูกพืชต่างๆ แล้ว ในแง่ของป่าก็จะเป็นการปลูกป่าแบบที่เป็นต้นไม้ชนิดเดียวกันทั้งป่า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการค้า ทั้งขายในประเทศและส่งออกนอกประเทศ ซึ่งจะเลือกปลูกพืชพันธุ์ที่ใช้พื้นที่ไม่มากแต่ให้ผลผลิตสูง ซึ่งข้อดีของการปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่ว่านี้ คือ สามารถเลือกการดูแลและกำจัดศัตรูพืชได้อย่างง่ายดาย เพราะเรารู้ว่าเราปลูกอะไร และมีอะไรบ้างที่เป็นศัตรูพืช โดยสามารถทำให้เป็นมาตรฐานที่รับรู้และเข้าใจร่วมกันได้ในวงกว้าง และยังสามารถจัดพืชผลที่จะปลูกให้เหมาะแก่สภาพพื้นที่ได้อีกด้วย
แต่เมื่อมีข้อดี ก็ต้องมีข้อเสียไปด้วยควบคู่กัน การทำเกษตรเชิงเดี่ยวต้องอาศัยปัจจัยการสร้างผลผลิตจากภายนอกมากมาย วัตถุดิบที่จะนำมาใช้ในการเพาะปลูกจึงไม่สามารถกำหนดราคาเองได้ โดยราคาจะขึ้นอยู่กับกลไกทางตลาด และการแข่งขันกันระหว่างผู้ผลิตด้วยกันเอง การพัฒนาผลผลิตทั้งการใช้ปุ๋ย การใช้ยาฆ่าแมลงจึงตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อผลผลิตเหล่านี้ออกไปสู่ผู้บริโภคจึงอาจเหลือสารตกค้าง และไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภคด้วย
นอกจากการแข่งขันด้านผลผลิตแล้ว การทำเกษตรกรรมเชิงเดี่ยวยังส่งผลต่อวิถีชีวิตของเกษตรกรอีกด้วย คือเมื่อหมดฤดูเพาะปลูก เกษตรกรก็จะไม่สามารถเพาะปลูกพืชใดๆ ได้ต่อไปอีก เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ได้ใช้ในการปลูกพืชเชิงเดี่ยว (อย่างเช่นข้าว) ไปจนหมดแล้ว เมื่อหมดจึงมีการอพยพเข้าในเมืองใหญ่เป็นจำนวนมาก กลายเป็นที่มาของปัญหาหลายๆ อย่างต่อไปอีก โดยเฉพาะในด้านสังคมและความเป็นอยู่ที่เปลี่ยนแปลงไป
http://ktd-spirit.com

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น