วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ชาวเล ชาวไทยใหม่ หรือ ชาวอุรักละโว้ย แห่งท้องทะเลอันดามัน

ความเป็นมา

ชาวเลอาศัยอยู่ทางฝั่งทะเลอันดามัน ทางตอนใต้ของประเทศไทยแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่มวัฒนธรรม คือ กลุ่มอูรักลาโว้ย และกลุ่มมอเก็น ชาวเลที่อาศัยอยู่ในจังหวัดกระบี่ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มอูรักลาโว้ย ตั้งถิ่นฐานบริเวณเกาะพีพี เกาะจำ เกาะปู เกาะไหง และเกาะลันตา นอกจากนี้ยังมีกลุ่มชาวเลที่เป็นเครือญาติในสายตระกูลเดียวกันอาศัยกระจัดกระจายบริเวณจังหวัดใกล้เคียง ได้แก่ บริเวณเกาะสิเหร่ หาดราไวย์ แหลมหลา บ้านเหนือ และบ้านสะปำ จังหวัดภูเก็ต ตลอดไปจนถึง เกาะหลีเป๊ะและเกาะลาวีจังหวัดสตูล

ตามตำนานบ่งชี้ว่าชาวเลกลุ่มอูรักลาโว้ยเคยมีบรรพบุรุษเชื่อมโยงกับชาวเลกลุ่มมอเก็นและเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่เดินทางอพยพเร่ร่อนทางทะเลมายาวนานในประวัติศาสตร์



ในอดีตชาวเลกลุ่มอูรักลาโว้ยเคยอาศัยบริเวณเทือกเขา "ฆุนุงฌึไร"ชายฝั่งทะเลในรัฐไทรบุรีหรือเคดาห์ เขตประเทศสหพันธ์รัฐมาเลเซียก่อนอพยพเข้าสู่น่านน้ำไทยและเมื่อเข้ามาอาศัย แถบหมู่เกาะชายฝั่งทะเลอันดามันเขตประเทศไทยแล้ว ระยะแรกก็ยังคงมีวิถีชีวิตแบบเร่ร่อน โดยอาศัยเรือที่ทำจากไม้ระกำเป็นที่อยู่ ทั้งเป็นยานพาหนะในการเดินทางเพื่อเก็บหาของป่าและล่าสัตว์ทะเลเป็นอาหาร พวกเขาใช้ "กายัก" (แฝกสำหรับมุงหลังคาเรือ เก็บพับได้ มุงเป็นเพิงได้) หรือสร้างเพิงพักชั่วคราวเหนือริมหาดชายฝั่งทะเลในบางฤดูกาล

มีหลักฐานทางวัตถุและคำบอกเล่าสืบต่อกันมาเชื่อกันว่า เกาะลันตาเป็นดินแดนแห่งแรกที่ชาวเล อูรักลาโว้ยเริ่มเปลี่ยนวิถีชีวิตขึ้นตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย แต่ยังคงสืบทอดนิสัยอพยพเร่ร่อนอยู่อีกช่วงเวลาหนึ่ง มีเหตุการณ์ที่พวกเขาอพยพย้ายถิ่นอยู่ในบริเวณน่านน้ำชายฝั่งทะเลอันดามันอีกหลายครั้ง โดยแยกย้ายกันไปทำมาหากินตามหมู่เกาะต่าง ๆ แล้วตั้งถิ่นฐานบริเวณหมู่เกาะเหล่านั้นบ้าง กลับมาที่เดิมบ้าง จนในที่สุดต่างก็จะกระจัดกระจายกันตั้งถิ่นฐานในกลุ่มครอบครัวและเครือญาติใกล้ชิดของตน แต่ทุกกลุ่มก็ยังติดต่อสัมพันธ์ไปมาหาสู่กัน นับเป็นสังคมเครือญาติขนาดใหญ่และถือเป็นพวกเดียวกันทั้งหมด

วิถีชีวิตและภาษา

อูรักลาโว้ยยังชีพกับทะเลตลอดมา ในยุคดั้งเดิมพวกเขานำเรือท่องไปตามหมู่เกาะกลุ่มละสี่-ห้าลำ บางครั้งจะขึ้นเกาะเพื่อเก็บของป่า เช่น มะพร้าว เผือก มัน หรือเก็บหอยช่วงน้ำลง แต่ส่วนใหญ่แล้วจะมุ่งล่าสัตว์ทะเลเป็นอาหารโดยใช้เครื่องมือง่ายๆ เช่น ฉมวก สามง่าม เบ็ด และวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น

อูรักลาโว้ยได้ชื่อว่าเป็นพวกที่มีความสามารถในการดำน้ำแทงปลาจับกุ้งมังกรด้วยมือเปล่าและดำเก็บหอยชนิดต่างๆ ขึ้นมาจากทะเลพวกเขายังล่าเต่ากระ และพยูนเป็นอาหาร

เมื่อมีกลุ่มชนอื่นเข้ามาอาศัยตั้งถิ่นฐานแถบหมู่เกาะกันมากขึ้น พวกอูรักลาโว้ยก็เคลื่อนย้ายชุมชนไปอยู่ตามหัวเกาะ สุดปลายแหลม ซึ่งมักเป็นบริเวณที่คลื่นลมแรง เพื่อหนีการรบกวนจากกลุ่มชนอื่น เพราะพวกเขารักสงบและมักจะหวาดกลัวคนแปลกหน้า แต่เมื่อผู้คนมากขึ้นอูรักลาโว้ยก็จำเป็นต้องติดต่อกับชุมชนภายนอกมีการนำส่วนเกินที่หาได้จากทะเลไปแลกเปลี่ยนสิ่งของเครื่องใช้ที่ขาดแคลน ดังเช่นอูรักลาโว้ยจะนำเครื่องรางและสิ่งประดับพวกเกล็ดปลากระเบนท้องน้ำ กำไลกระ หอยเบี้ย กัลปังหาและไข่มุก ไปแลกกับเสื้อผ้ามานุ่งห่มหรือเอาปลาไปแลกข้าวสาร

คราใดที่เกิดภัยพิบัติหรือสมาชิกในกลุ่มเจ็บป่วยล้มตายนั่นก็หมายถึงการลงโทษที่ได้รับจากผีบรรพบุรุษ หรือสิ่งเหนือธรรมชาติที่มีอิทธิพลต่อพวกเขา ดังนั้นพิธีกรรมในการติดต่อสื่อสารระหว่างสมาชิกในกลุ่มกับสิ่งเหนือธรรมชาติเพื่อขอขมา เพื่อบนบานศาลกล่าว เพื่อการต่อรองหรือเพื่อเอาอกเอาใจจึงอุบัติขึ้นในโอกาสต่าง ๆ โดยใช้วิธีการพิเศษซึ่งต้องผ่าน "โต๊ะหมอ" ผู้นำกลุ่มเพียงผู้เดียวเท่านั้น เช่น การจัดพิธีลอยเรือ หรือพิธีแก้บน เป็นต้น

ชาวเลกลุ่มอูรักลาโว้ย ใช้ภาษา "อูรักลาโว้ย" เป็นภาษาพูดไม่มีภาษาเขียน

การแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้อูรักลาโว้ยรับวัฒนธรรมจากภายนอกเข้ามาจนเกิดการสืบเนื่องและเปลี่ยนแปลงหลายด้าน ที่ชัดเจนคือการรู้จักใช้ระบบเงินตราแทนการแลกเปลี่ยนสิ่งของและเปลี่ยนจากการล่าสัตว์ทะเลเพื่อยังชีพเป็นการล่าเพื่อขาย และใช้เรือติดเครื่องยนต์(เรือหางยาว)แทนเรือกรรเชียงขนาดเล็ก

ปัจจุบันอูรักลาโว้ยตกอยู่ภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบพึ่งพาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ของทะเลที่หามาได้จะถูกนำไปขายให้กับนายทุน เพื่อหักหนี้สินที่ค้างชำระค่าอวน ค่าเรือ และเครื่องเรือหางยาว ค่าข้าวสาร และอื่น ๆ อีกมากมายอย่างไม่มีวันหมดสิ้น

เพลงลูกทุ่งไทย หมอลำ และดนตรีสมัยใหม่แทรกเข้ามามีบทบาทในพิธีลอยเรือสลับกับดนตรีรำมะนาแบบเก่าแก่ที่ยังคงอยู่ พร้อมกับการเข้ามาของโทรทัศน์ซึ่งเป็นสื่อที่ทรงอิทธิพลของวัฒนธรรมไทย ที่เข้ามาทำลายวัฒนธรรมเก่าของชาวเลให้หมดไป

หญิงอูรักลาโว้ยที่เคยนุ่งผ้าถุงกระโจมอกเปลี่ยนมาใช้เสื้อผ้าหลายรูปแบบที่ได้รับแจกและบางครั้งสวมชุดนอนยาวมาเดินในตลาดหมู่บ้าน ผู้ชายส่วนใหญ่ยังสมถะกับการนุ่งกางเกงจีน (กางเกงขาก๊วย) แต่วัยรุ่นก็เริ่มสวมกางเกงยีนและชอบตู้เพลง

เด็กหนุ่มอูรักลาโว้ยจำนวนไม่น้อย เลิกวางอวน ตกปลา วางไซ แต่มาอยู่ตามชายหาดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวใช้เรือหางยาวรับนักท่องเที่ยวออกไปเที่ยวทะเล หมู่บ้านอูรักลาโว้ยบางแห่งถึงกับแตกสลายเมื่อที่ดินถูกซื้อหรือถูกยึดครองไปโดยนายทุนชาวเมือง ชาวเลก็จะอพยพไปอยู่กับเครือญาติในชุมชนชาวเลแห่งอื่นที่ยังเหลืออยู่ ซึ่งนับวันจะเบียดเสียดยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตามท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่รับมาจากสังคมภายนอก อูรักลาโว้ยบางกลุ่มยังคงดำรงเอกภาพภายในสังคมของตนเองไว้ได้อย่างเหนียวแน่น พวกเขาตั้งถิ่นฐานเกาะกลุ่มอยู่ด้วยกัน ไม่ยอมปะปนกับคนนอก ยังพูดภาษาอูรักลาโว้ย ในหมู่พวกพ้องกันเอง ยังสืบทอดตำนาน ความเชื่อและพิธีกรรมต่างๆ เกี่ยวกับบรรพบุรุษและดำรงรูปแบบทางสังคมและวัฒนธรรมของตนเองภายในชุมชนเล็กๆ ของพวกเขา แต่ก็มีบางกลุ่มที่ขายที่ให้กับนายทุนในแหล่งท่องเที่ยวได้ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตไปมา

ชีวิตครอบครัวแบบผัวเดียวเมียเดียวยังคงถือปฏิบัติกันอยู่ในสังคมอูรักลาโว้ย โดยฝ่ายชายจะเข้าไปอยู่ในครัวเรือนของฝ่ายหญิงชั่วคราวก่อนจะแยกเป็นครอบครัวเดี่ยวเมื่อถึงเวลาอันสมควร ยกเว้นกรณีฝ่ายชายมีความจำเป็นต้องเลี้ยงพ่อแม่ หรือฝ่ายหญิงเลือกชายหนุ่มต่างวัฒนธรรม เช่น ชาวจีน ชาวไทยมุสลิม หรือชาวไทยพุทธ ฝ่ายหญิงจะเป็นฝ่ายแยกไปอยู่กับฝ่ายชาย

การร้องรำทำเพลง เป็นชีวิตจิตใจของชาวอูรักลาโว้ย เช่นเดียวกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ที่ใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ

ท่ารำ เสียงดนตรี และบทเพลงที่ร้องรำกันทั้งในชีวิตประจำวันและในพิธีกรรมต่างๆ จะสะท้อนภาพสังคม-วัฒนธรรมและบ่งบอกถึงความเป็นมาและเป็นไปของกลุ่มชนทั้งในอดีตและปัจจุบัน เนื้อเพลงเอ่ยถึงท้องทะเล ผู้คน บรรพบุรุษ และการเดินทาง

แม้วิถีชีวิตดั้งเดิมแปรเปลี่ยนไปโดยไม่หยุดยั้ง แต่วันใดก็ตามที่ชีวิตพวกเขาสิ้นสุด ลูกหลานก็จะนำร่างไร้วิญญาณฝังกลบไว้ใต้ผืนทรายชายทะเล ตามคำบอกเล่าที่สืบต่อกันมาว่า "จะได้นอนฟังเสียงคลื่นกล่อมเหมือนเมื่อยังมีชีวิตอยู่"

http://www.krabistory.com/index.php?topic=34.0

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น